Page 146 - The 9th Graduate Integrity Conference Proceeding
P. 146
2.2 ทางจักรยาน
ประเภทของทางจักรยาน ตาม AASHTO.1991 อ้างถึงโดยนิคม บุญญานุสิทธิ์ และคณะ โดยทั่วไปมีการจัด
ประเภทของทางจักรยานออกเป็นหลายลักษณะ ขึ้นอยู่กับพื้นที่ ประโยชน์ใช้สอย และความปลอดภัย ในที่นี้มีอยู่ 3 ประเภท
คือ 1) ทางจักรยานท่แยกออกจากทางเดินเท้าหรือทางรถยนต์โดยสมบูรณ์ (Class I Bikeway หรือ Bike Path) คือ ทางจักรยาน
ี
ที่แยกออกจากการจราจรของยานพาหนะอื่นๆ และทางเดินเท้า โดยมีพื้นที่โล่งกว้างหรือมีสิ่งกีดขวางกั้นอยู่ เหมาะส�าหรับ
บริเวณที่มีการใช้จักรยานค่อนข้างถี่และเป็นจ�านวนมาก ข้อดี คือ สามารถจัดบนเส้นทางที่ไม่อยู่ในระบบถนนได้ แต่มีข้อเสีย
ในเรื่องของการลงทุนก่อสร้างทางจักรยานสูงกว่ารูปแบบอื่น ความกว้างของทางจักรยานที่มีการเดินรถสองทาง (Two-Way)
ควรมีความกว้างของทางอย่างน้อย 2.40 เมตร แต่ถ้ามีการเดินรถทางเดียว (One-Way) ควรมีความกว้างของทางอย่างน้อย
ี
ั
ี
1.50 เมตร มีไหล่ทางท้งสองข้างกว้าง 0.60 เมตร ในกรณีท่ทางจักรยานใช้ร่วมกับทางเท้า โดยท่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้
ควรมีความกว้างของทางไม่น้อยกว่า 3.00 เมตร แต่มีการทาสีหรือท�าสัญลักษณ์ให้มีความแตกต่างระหว่างทางจักรยานและ
ทางเดินเท้า 2) ทางจักรยานที่แยกออกจากทางเดินหรือทางรถยนต์ในระดับปานกลาง (Class II Bikeway หรือ Bike Lane)
ื
ี
�
ั
ื
ื
�
ี
คือ ทางจักรยานท่มีเคร่องก้น ทาสีตีเส้น ทาขอบซีเมนต์ ติดสัญญาณหรือทาเคร่องหมายแบ่งพ้นท่ออกจากส่วนของการจราจร
ี
ี
ของรถยนต์บนถนนหรือของคนบนทางเดินเท้า ในกรณีท่ถนนมีความกว้างเพียงพอท่จะจัดให้เป็นทางจักรยานได้ จุดประสงค์หลัก
ื
เพ่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการข่รถจักรยาน สามารถคาดการณ์การเคล่อนท่ของผู้ข่จักรยานและผู้ขับรถยนต์ได้
ี
ื
ี
ี
เพ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้ข่จักรยานบนถนนท่มีรถยนต์จานวนมากได้ ลงทุนน้อยกว่าแบบ Bike Path ความกว้างของทางจักรยาน
�
ี
ิ
ี
ส�าหรับ Bike Lane ควรมีความกว้างอย่างน้อย 1.20 เมตร-1.50 เมตร 3) ทางจักรยานที่ใช้เส้นทางร่วมกับทางเดินเท้าและ
ทางรถยนต์ (Class III Bikeway หรือ Bike Route) คือ ทางจักรยานที่ก�าหนดให้มีเครื่องหมาย หรือทาสี เพื่อบอกให้ทราบ
ี
ถึงบริเวณท่จัดเป็นทางจักรยานเป็นการใช้ทางจักรยานร่วมกับการจราจรประเภทอ่น อันได้แก่รถยนต์และคนเดินเท้า แต่ถนน
ื
ี
ี
ี
ี
ท่จะจัดให้มีทางจักรยานประเภทน้ต้องมีความกว้างมากพอท่จะให้รถจักรยานมาข่ร่วมด้วย ความกว้างของทางจักรยานประเภทน ้ ี
ไม่มีก�าหนดที่แน่นอน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
2.3 ทางวิ่ง
ี
�
ี
ิ
�
ั
ี
การเดินหรือการว่ง เป็นกิจกรรมทางร่างกาย และเป็นกิจกรรมท่แนะนาสาหรับบุคคลท่วไปท่คิดเร่มท่จะออกกาลัง
�
ิ
เพราะไม่ตองผ่านการฝึกฝน หรือต้องมีอุปกรณอะไรเปนพิเศษ ทั้งยังมีความปลอดภัยสูงและสามารถท�าไดทุกที่ทุกเวลา
็
์
้
้
มาตรฐานความกว้างของช่องทางเดิน (ทรรศชล ปัญญาทรง, 2551 อ้างถึงใน ปรีชญะ โรจน์ฤดาทร) จากขนาด
ั
ี
ี
ตัวเลขของร่างกายมนุษย์ในการใช้ทางเท้า ท่ว่า 1 คนใช้ทางเท้า 0.60 เมตร ฉะน้น ทางเท้าควรกว้างอย่างน้อยท่สุด 1.20 เมตร
ั
ในกรณีเดินสวนกัน ขนาดทางเท้ายังข้นอยู่กับปริมาณผู้สัญจรในเส้นทางน้นด้วย และในคู่มือขนาดสนามและอุปกรณ์กีฬา
ึ
ของการกีฬาแห่งประเทศไทย ก�าหนดมาตรฐานของสนามกรีฑา 400 เมตร คือสนามที่มีทางวิ่งเป็นวงรอบ ประกอบด้วย
ทางวิ่งที่เป็นทางตรงและทางโค้ง ครบหนึ่งรอบจะได้ระยะทาง 400 เมตรพอดี ในทางสากลเรียกทางวิ่งนั้นว่า ลู่วิ่ง และมี
เขตที่แบ่งย่อยจากลู่วิ่ง ออกเป็นช่องวิ่ง มีจ�านวน 8 ช่องวิ่ง มีความกว้างช่องวิ่งละ 1.22 เมตร โดยมีเส้นของช่องวิ่งกว้าง
5 เซนติเมตร ขีดกั้น
ื
�
ี
ื
ั
ั
ดังน้น จึงสรุปความหมายของคาว่า “ทางว่ง” คือ แนวหรือพ้นท่สาหรับใช้สัญจร เพ่อให้ร่างกายเคล่อนท่ ท้งการ
�
ื
ี
ิ
เคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ หรือเคลื่อนที่ไปโดยเร็ว โดยอาจมีความกว้างของช่องวิ่งตามมาตรฐาน อย่างน้อย 1.22 เมตร
3. วิธีการวิจัย
งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงส�ารวจ (Survey Research) อาศัยการส�ารวจ และการใช้แบบสอบถาม เป็นเครื่องมือ
ู
ิ
ี
่
ิ
ั
่
ิ
่
ี
ู
ในการเกบรวบรวมข้อมลปฐมภม เกยวกบลกษณะทางกายภาพของเส้นทางจกรยานและเส้นทางเดน-วงทให้บรการกบผ้ใช้
็
ู
ั
ิ
ั
ั
สวนสาธารณะ พฤติกรรมของผู้ใช้บริการในการเข้าถึง และทัศนคติและความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ เพ่อเป็นแนวทางการปรับปรุง
ื
เส้นทางจักรยานและเส้นทางเดิน-วิ่งที่ได้มาตรฐาน และสามารถใช้งานร่วมกันอย่างปลอดภัยต่อไป
ผลงานวิจัยในโครงการประชุมวิชาการระดับบัณฑิตศึกษา
139 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สจล.