Page 171 - The 10th Graduate Integrity Conference Proceeding
P. 171
ํ
ั
้
้
ั
้
ื
ื
ั
ื
ื
ั
่
่
้
ั
ี
ี
่
ิ
ิ
ิ
เรอน พบพนทใชรวม เชน พนทกนขาว พนทซกลางและหองนา ยงพบการตอเตมเทบดานหนาสําหรบนงเลน พกผอน และ
ี
่
่
ื
ี
ั
ุ
ู
ั
ั
่
ื
ี
พบปะพดคยกบเพอนบาน และเทิบดานขางสําหรับเปนทจอดรถ (นยมสรางตอจากตวเรอน) สวนใหญมการใชงานททบซอน
่
ี
ิ
ี
ั
่
ํ
้
ึ
ั
ื
ของพืนทตามความจาเปน จากการศกษาลกษณะโครงสรางทางสถาปตยกรรมและผังพนโดยรวมมีความสอดคลองกบลักษณะ
้
ั
้
ิ
ึ
ื
ื
่
ั
ทางสถาปตยกรรมและผังพนทคลายกบเรอนประยกตรวมสมยรปแบบเทศบาล ของ (ธนศร, นพดล, 2559) ทศกษาเกยวกบ
ี
ั
ู
ุ
่
ี
่
ี
ิ
ี
ิ
่
ิ
ั
ี
ั
ื
ี
“พลวตของรูปแบบบานเรอนในภาคตะวนออกเฉยงเหนอของประเทศไทย” และ (จตรมณี, วนด, อรศร, 2559) ทศกษา
ื
ึ
ั
เกยวกบ “ลักษณะเฉพาะของชมชนและเรือนพนถนไทลาว จงหวดเลย” แตอาจมความแตกตางในดานพนทกจกรรมเนองจาก
้
ื
ุ
ื
้
ั
ิ
่
ี
ิ
ื
่
ั
ี
ี
่
ั
่
่
ุ
ขอบเขตการใชงานสวนบคคลทตางวาระ
ี
ุ
7. สรปผล
ผลการศึกษา พบวากลมเรือนดงเดิมมีการเปลียนแปลงพนทกจกรรมการใชสอยพนทภายในเปนหลัก และมกจกรรม
้
ี
ิ
่
ื
ี
ื
้
่
ี
่
ุ
ิ
้
ั
ั
ึ
ี
ื
ั
ื
้
ี
่
ั
ี
ื
่
ิ
ี
ุ
ั
้
ี
การใชสอยพนททบซอนกบญาติพนองในบางสวน เชน เรอนนอน ชาน (เซย) และครว พนทกจกรรมสวนตวจงมความยดหยน
่
ึ
ี
ั
ั
ี
ิ
ื
สูงสําหรับญาติ แตกลุมเรอนววฒนาการ ประเภทเรือนไทอสานประยกตมีใตถน มลักษณะโครงสรางทววฒนาการมาจากเรอน
่
ุ
ื
ี
ิ
ุ
้
ื
ี
่
ิ
่
ี
ื
่
ี
่
ิ
เกยไทอสานดังเดม มีการเพมเติมหลังคาในพนทชานแดดเปนชานรม และการปดลอมพนทชานเกยบางสวนเพอปองกนลม ฝน
ื
้
้
ั
ี
ึ
่
ิ
ี
่
่
ี
ื
้
้
รวมถึงการปรับเปลียนพนทใชสอยกจกรรมบนเรือน การใชสอยพืนทสวนใหญจงเปนพนททบซอนของคนภายในครอบครว
ื
ั
้
ั
่
ี
มความยึดหยนสําหรบญาติพนองคลายเรอนไทอสานดงเดม สวนเรือนไทอสานประยกตมพนทปดลอมใตถน พบมลักษณะ
ี
ิ
ี
ุ
้
ั
ื
ี
่
ี
ุ
ั
่
ุ
ี
ี
้
ื
ั
ิ
ี
่
ื
ี
่
้
้
ี
่
ั
ื
ื
้
็
่
ี
้
ื
ื
้
ุ
ิ
่
ุ
โครงสรางคลายกบเรอนไทอสานแบบมีใตถน มีการเพมเตมพนทใตถนเปนพนทปดลอม พนทชนบนกลายเปนพนทเกบของ
ี
ื
ทไมคอยไดใชงาน กจกรรมเกอบทงหมดถกยายลงมาโถงชนลาง พนทบางสวนถกกนใหเปนพนทสวนตว เชน หองนอน หอง
้
ั
้
่
ี
ี
่
ั
ู
ู
ั
ิ
ื
ื
้
ี
้
ั
่
้
ั
ั
ื
ั
่
้
เกบของ พนทวางบรเวณโถงบางสวนเปนพนททบซอนทอาจใชสําหรับคนในครอบครวและรบแขกรวมดวย สวนเรือนไทอสาน
็
ี
ิ
ื
ี
้
ี
่
ี
่
ี
้
ั
ี
้
ื
ื
่
่
ื
้
ี
ี
รวมสมยทรงเทศบาลมการเปลียนแปลงทังลักษณะโครงสรางและผังพนทตางจากเรอนไทอสานดังเดมและเรอนไทอสาน
ิ
ุ
ี
่
ิ
ี
่
ิ
ื
่
่
ี
้
ี
ื
ประยกต มพนทปดลอมเปนสวนใหญ เนองจากการเปลยนแปลงของกจกรรมและพฤตกรรมการใชสอยพนท ในปจจบนพบวา
้
ุ
ื
ั
ื
ุ
ี
ั
ู
่
ั
ี
ื
เรอนไทอสานรวมสมยถกใชเปนตนแบบของเรอนทรงเทศบาล คนในชมชนเรมสรางมากขึน และมกนยมตอเตมพนทเทบ
้
่
ิ
ิ
ิ
ื
้
ิ
ื
่
ิ
ั
่
ั
ิ
ิ
ั
ั
ภายหลัง เชน เทบดานหนาสําหรบนงเลนพักผอนพดคยปฏสัมพนธกบเพอนบาน เทบดานขางใชสําหรบจอดรถ สวนเทบ
ั
ิ
ุ
ู
ดานหลังสําหรับตอเติมพนทหองนาครวและเกบของเปนตน
้
ื
้
ํ
่
ี
ั
็
8. ขอเสนอแนะ
ั
ี
ู
่
ึ
ึ
ุ
ั
ขอจากดในการศกษาบางประการทเปนอปสรรคตอการเขาถงขอมลเชงลึก เชน กลุมเรอนเกา สวนใหญไมพบผูพก
ํ
ื
ิ
ี
ํ
่
ั
่
ี
ิ
ู
ู
ี
ู
อาศยในเรือน จาเปนตองสืบหาผูทใหขอมลทเปนจรงไดจากการสัมภาษณลูกหลานเปนหลัก อาจมความไมสมบรณของขอมล
ู
เทาทควร สวนกลุมเรอนววัฒนาการพบมีการเปลียนแปลงพืนทีหลายชวง ผพกอาศัยสวนใหญเปนผสูงอายุทําใหเกดปญหาการ
ั
่
่
้
ิ
ู
ื
ี
่
ิ
ี
ั
ั
ื
ื
่
ี
้
ิ
จดจารายละเอยดผังเรอนในอดตบางสวน สวนเรอนรวมสมย สวนใหญมขอกากดในการเขาวดพนทภายในตัวเรอน อาจเกด
ี
ํ
ื
ื
ํ
ั
ี
ั
ั
จากความกงวลในความเปนสวนตวของเจาของเรือน และความไมสะดวกเปนตน
ู
ิ
ํ
่
เนองจากเปนการศกษาเชงคณภาพทีเนนการเขาถงขอมลในเชงลึกและระยะเวลาทีสน การกาหนดกลุมตัวอยางและ
ึ
ิ
ั
้
่
ึ
ุ
ื
่
ู
่
ึ
ั
ั
ี
ื
้
่
ื
ั
ึ
ึ
ขอบเขตการศกษาจึงขอเลือกเฉพาะเรือนพกอาศยเทานน ซงไมรวมถงเรอนคาขาย หรออาคารพาณิชยตาง ๆ ขอมลทไดจาก
่
กลุมตวอยางอาจจะยงไมครอบคลุมขอมลในดานอน ๆ เทาทควร เพราะสวนหนงการเขาสํารวจพนท ยดความยินยอมจาก
ึ
ื
้
ี
่
ู
ั
ี
ื
่
่
ึ
ั
ิ
็
่
ื
ึ
ิ
ั
ี
ู
้
่
ึ
เจาของเรือนเปนหลัก ในอนาคตถามการศกษาครงตอไปควรมีการเพมเตมกลุมตัวอยาง และการศกษาขอมลในประเดนอนท ี ่
ี
ั
ั
็
ี
ี
่
ื
ั
ั
แตกตางรวมดวย เชน ลักษณะการวิวฒนาการของเรอนไทอสานเปนตน อยางไรกตามแมผลจากการศกษายงไมชชดเกยวกบ
้
ึ
ื
ื
การลดนอยลงของกลุมเรอนเกาและกลุมเรอนประยุกต แตจากการสังเกตพบวา ความนิยมในการสรางทพกอาศัยทรวมสมัย
ั
่
ี
่
ี
ึ
ํ
่
เริมเขามาแทนทและมีจานวนมากขนเรอย ๆ อาจสงผลตอการสูญสลายไปของเรอนพนถนทเปนเอกลักษณในระยะยาวไดใน
ี
่
้
ิ
่
้
ี
่
่
ื
ื
ื
อนาคต
162