Page 170 - The 10th Graduate Integrity Conference Proceeding
P. 170
ื
ื
ี
้
ั
้
ั
ี
ี
ชนบน [8] ชานระเบยง (เซย) ) [9] ระเบยงบนใด [10] ชานนอนหนาหอง [11] เรอนนอนใหญ [12] ระเบยง แตพบวาพนท ่ ี
ี
้
ุ
ั
ื
้
ึ
ั
ั
่
ิ
่
ื
ิ
่
ี
ํ
่
ี
ื
้
้
ํ
ชนบนไมคอยใชทากจกรรมในปจจบนเนองจากมสภาพทรุดโทรม/พนททากจกรรมกงสวนตว [5] พนทใชรวม เชน พนทครว
ั
ี
่
ี
ื
้
ื
ี
ั
่
ี
ิ
่
ี
ั
ิ
้
ั
่
ื
่
ั
่
ื
ั
ื
้
่
ํ
้
่
ี
พนทซกลาง พนทกนขาว และพืนทสาหรับนงนอนพกผอนหรอปฏสัมพนธกบเพอนบาน/พนทสาธารณะและกึงสาธารณะ [0]
ื
ั
ี
่
่
ี
้
ื
ุ
ื
ั
ิ
่
้
ี
่
ี
้
เปนพนทเขตรวมการทบซอนการใชพนทในกจกรรมอืน ๆ รวมกบเพอนบาน พนทใชงานจงเปนพนทมความยดหยนสูง
ั
ื
ี
่
ึ
้
ื
ื
ี
ื
้
่
ผลจากตารางที 5.3 พบวา เรือนไทอีสานรวมสมัยทรงเทศบาล [H7] มลักษณะโครงสรางทเปลียนจากเรือนไทอสาน
่
่
ี
ี
ี
่
ี
ื
ดงเดิม และเรือนไทอสานประยุกต มีชวงหางระหวางแนวเสา 2 ชวงเสา แตกตางจากเรอนไทอสานดังเดม และเรอนไทอสาน
้
ั
้
ี
ี
ื
ิ
ประยกตทมชวงหางระหวางแนวเสา 3 ชวงเสา ชนบนประกอบดวย หองนอน โถงหนาหอง พนทชนลางมลักษณะเปนโถงใหญ
ุ
ี
้
่
ี
ื
้
ั
้
่
ี
ั
ี
ั
ิ
้
้
่
่
ื
่
ี
้
ั
็
้
้
ี
ขอบเขตพนทสวนตว ไดแก [2] พืนทีบรเวณโถงชันลาง พบมการกันพืนทีดวยตูใหเปนสดสวนใชสําหรับเกบของและเสือผาของ
้
ั
้
ื
่
้
ี
ํ
ิ
่
ั
่
ั
ู
ุ
ํ
้
ู
ื
ี
ู
คนภายในบาน ถดมาเปนพนทนงทางานลกสาว นงเลนพดคย ดTV ของคนภายในครอบครว [4] พนทบรเวณหองนา พบเปน
่
ั
่
ื
้
ี
่
้
ั
ู
ี
้
ิ
่
ู
้
ื
ิ
ี
้
ื
ี
่
ื
่
ิ
ี
้
พนทตอเตมภายหลัง [6] พนทบรเวณโถงชนบน [7] พืนทบรเวณโตะหมบชา [8] พนทหองนอน [9] พนทหองนอน พบเปน
้
ึ
้
ึ
ี
่
ิ
ิ
ี
้
ิ
่
ึ
่
่
่
ี
ื
ี
ื
่
้
้
ี
พนทตอเตมขนมาภายหลัง [10] พนทหองนอน พบเปนพนทตอเตมขนมาภายหลัง/พนทกงสวนตว ไดแก [3] พนทบรเวณกน
ิ
ื
้
ั
ื
้
ื
้
ื
่
้
ื
่
่
่
ื
ี
้
่
ี
ิ
ี
ื
ั
ิ
ึ
ั
้
ขาว พบเปนพ้นทตอเตมขนมาภายหลังเชอมตอกับพืนทีครว [5] พนทบรเวณครว พบเปนพนทตอเตมขนมาภายหลังภายหลัง
ิ
ึ
้
่
ึ
ี
่
ี
ื
มการทบซอนการใชพนทในกจกรรมอน ๆ รวม พนทใชงานในแตละสวนจงเปนพนทมความยดหยนสูง/พนทก่งสาธารณะ
้
ื
ี
ุ
ื
่
ี
่
้
ื
่
ื
้
ิ
ึ
ั
้
ื
ี
ี
้
ื
ี
่
่
ิ
ี
ื
้
้
่
ื
ไดแก [0] พนทบรเวณประตูทางเขา [1] พนทบรเวณจอดรถดานหนา,ดานขาง และพนทบรเวณสวนหลังบาน พบเปนพนทตอ
ี
่
ื
ิ
้
ี
ิ
่
่
ี
ี
ิ
ี
ึ
้
ุ
ึ
ื
เติมขนมาภายหลัง มีการทบซอนการใชพนทในกจกรรมอืน ๆ รวม พนทใชงานในแตละสวนจงเปนพนทมความยดหยนสูง
่
ี
ื
่
้
ื
ั
ื
้
้
6. อภิปรายผล
ื
ั
ื
ื
้
ั
ี
ี
ื
่
การเปลยนแปลงพนทกจกรรม และผงพนเรอนไทอสานชุมชนเทศบาลเมองเขมราฐ จังหวดอบลราชธานี
่
ี
ิ
้
ุ
ึ
ผลทไดจากการศกษาพบวา เรอนไทอสานแบบดงเดมหลังคาทรงปนหยามลักษณะโครงสรางทรงหลังคาและ
ี
ิ
ี
ั
ื
ี
้
่
้
ื
ื
ั
ื
่
ี
ี
ั
้
ื
พนทปดลอมแบบเรอนไมภาคกลาง ผงเรอนชนบนประกอบไปดวย เรือนนอน ชาน (เซย) หนาบาน ชาน (เซย) ดานหลัง เรอน
ี
้
้
ื
ํ
้
ครว และหองนา พนทชาน (เซย) เปนพืนทีโลงมหลังคาคลุม พนทเรอนนอนสวนใหญนยมทาผนงปดกน โดยมีประตูเปนพนท ่ ี
ํ
ี
ิ
ื
้
่
ี
ั
ั
่
ี
ื
ั
้
้
ี
่
ื
ิ
ื
ั
ุ
ี
ั
ื
เชอมผานทะลุถงกนได พนทกจกรรมสวนใหญเปนพนทซอนทบมความยดหยนในใชงานทงคนภายในครอบครว และแขกทีมา
้
้
ี
่
ั
ั
่
้
ื
ื
ึ
่
ี
่
ี
่
ื
เยยม เชน ชาน (เซย) โถงนอนภายใน หองนําหรอเรอนครวเปนตน จากการศึกษาลักษณะโครงสรางทางสถาปตยกรรม
้
ี
ั
ื
ิ
่
ิ
โดยรวมพบวา ลักษณะทางสถาปตยกรรมมีความสอดคลองกบเรอนไทลาวของ (วชต คลังบญครรอง, 2553) ทศกษาเกยวกบ
ั
ี
ื
ี
ั
ึ
ุ
่
้
ั
ํ
ํ
ิ
่
ั
ื
้
ิ
ี
ั
ู
ี
ั
่
“เอกลักษณทอยอาศยพนถนลุมนาโขง จงหวดนครพนม” แตอาจมความแตกตางกนในดานการใชสอยพ้นททากจกรรม
ี
่
ื
่
ี
่
ื
เนองจากขอบเขตการใชงานสวนบคคลทตางวาระ
ุ
ิ
ี
ึ
ผลทไดจากการศกษาเรอนไทอสานแบบประยุกต พบวามลักษณะโครงสรางทางสถาปตยกรรมทววฒนาการมา
ื
่
ั
่
ี
ี
ี
ี
ึ
ุ
่
่
ึ
่
ู
ื
้
ิ
ื
จากเรอนเกยไทอสานดงเดม ทงแบบมใตถนและแบบมีพนทปดลอมใตถนครงปนครงไม โดยมีชวงหางระหวางเสา 3 ชวง
ี
ั
ุ
้
ั
้
ี
ั
ี
เหมอนกน มการเปลียนแปลงรปแบบหลังคาและพนทชานแดด ฝนมาเปนชานรม แตแตกตางกนคอเรอนไทอสานประยุกต
ู
้
ั
ี
ี
่
่
ื
ื
ื
ื
ี
่
้
ื
ึ
้
แบบมใตถน ไมมีการปดลอมพนทใตถนเรือน มีเพยงการปรับเปลียนพนทชานเกยชนบนใหเปนพนทปดลอมมากขนและใชเปน
ี
ุ
ื
ุ
้
ี
่
่
ี
ื
ี
่
้
ั
้
ี
ื
ี
่
้
พนทอเนกประสงค เชน นอน เกบของ วางตู และแขวนเสือผาเปนตน เรือนครวมการขยายพืนทใหเปนพนทเปดโลง และพืนท ่ ี
้
่
ี
้
ี
้
ื
ั
้
็
่
่
ั
่
ึ
้
ั
ี
่
ุ
ใชรวมบางสวน เชน พนทซกลาง พนทกนขาว และพืนทนงนอนพกผอน สวนเรือนไทอสานประยกตแบบครงปนครงไม พบวา
่
ี
ิ
่
้
ื
ึ
ื
ี
ี
้
ู
ั
่
้
ื
ี
่
้
ุ
ื
้
ี
ี
ิ
่
ู
สวนใหญนยมตอเตมพนทใตถนใหเปนพืนทปดลอมดวยการกออฐฉาบปนมากขึน มลักษณะเปนโถงใหญนยมใชเปนพนท ี ่
ิ
้
ิ
ิ
ั
อเนกประสงคสําหรบนงนอน หรอรบแขก มีพนทปดกันบางสวนสําหรบหองนา และครว พนทชนบนยงคงสภาพโครงสราง
ั
้
ี
่
ื
้
ั
่
ื
ั
้
ื
ี
่
้
ํ
ั
ั
ั
้
ึ
่
ู
ี
ั
่
ิ
้
ี
่
เรือนเดิมทยงใชประโยชนเฉพาะบางสวนเทานน สวนใหญนยมเก็บสิงของทไมคอยไดใชงานกจกรรมสวนใหญจงถกยายลงมา
ั
ิ
้
ในพนทชนลางแทน จากการศกษาลกษณะโครงสรางทางสถาปตยกรรมและผังพนคลายกบเรือนประยกต ของ (จตรมณี, วนด,
ื
ี
่
ื
ั
ิ
้
ั
ึ
้
ั
ั
ี
ุ
ิ
ั
ี
อรศร, 2559) ทศกษาเกยวกบ “ลักษณะเฉพาะของชมชนและเรอนพนถนไทลาว จงหวดเลย” ทง 2 ลักษณะแตอาจมความ
ิ
ื
ื
้
่
ี
่
ั
ี
้
ั
ึ
ิ
ั
่
ุ
่
ิ
ํ
ื
้
ุ
ั
่
่
ี
แตกตางกนในดานการใชสอยพนททากจกรรมเนองจากขอบเขตการใชงานสวนบคคลทีตางวาระ
ื
่
ั
ื
ื
ึ
ี
่
ี
ื
ี
ผลทไดจากการศกษาเรอนไทอสานรวมสมยพบวา มลักษณะโครงสรางและผังเรอนเปลียนไปจากเรอนไทอสาน
ี
ั
่
ี
ดงเดิม และเรือนไทอสานประยุกต เนองจากการออกแบบมาจากหนวยงานภาครัฐทเนนลักษณะโครงสรางใหเหมาะสมกบการ
ั
ื
่
ี
้
ี
ู
่
ื
้
ั
้
ั
ใชงาน และถกสุขลักษณะ การลดพนทของชวงเสา 2 ชวงทงแนวกวางและแนวยาว ชนบนประกอบดวย หองนอน โถงหนา
้
ิ
ั
หอง หงพระกิจกรรมสวนใหญมีไวสําหรับหลับนอนและสวดมนตเปนพนททากจกรรมสวนตว เพราะใชเฉพาะคนในครอบครว
้
้
ํ
ี
ั
่
ิ
ื
ี
ั
ิ
่
ั
ชนลางประกอบดวย โถงใชเปนพนทอเนกประสงคสําหรับนง นอน รบแขก ทางาน เกบของ มการตอเตมเทบครวดานหลังตว
ั
็
ั
ื
้
ํ
ั
่
ี
ิ
้
161