Page 166 - The 10th Graduate Integrity Conference Proceeding
P. 166
่
ื
ี
ื
ึ
้
ั
่
ิ
ั
่
ี
ื
ื
ั
ู
ั
ึ
้
ั
้
ี
่
ื
้
ทวตวเรือนเพอปองกนแดด ลม และฝน เรอนครวถกปรบใหมพนทเปดโลงมากขน จงพบพนทใชรวมบางสวนในบรเวณพนท ่ ี
ื
ี
ั
ื
ํ
ุ
่
่
็
เดียวกน สวนบรเวณใตถนเรือนยกพนสูงโลงบางสวนมการตอเตมพนทปดลอมเพอทาเปนหองเกบของ คาขาย และหองนอน
ี
ิ
้
ื
้
ิ
่
้
็
ี
ุ
ี
้
ั
้
บางสวนพบเคยมีการใชสอยพนทการทอผาฝาย การกนคอกเลียงปศสตว พนทเกบฟนและพนทเกบอปกรณการเกษตรเปนตน
ื
้
ื
้
่
ั
ื
่
ุ
็
ี
ี
ี
ู
่
ื
้
้
ิ
่
้
่
ึ
ื
ุ
ิ
่
ี
ุ
ุ
ื
ึ
่
2) เรือนประยกตหลังคาทรงเกยแบบมพนทปดลอมใตถนครงปนครงไม พบวาสวนใหญนยมตอเตมพนทใตถนใหเปนพนทปด
ี
ื
้
ลอมดวยการกออฐฉาบปูนมากขน มีลักษณะเปนโถงใหญนยมใชเปนพนทอเนกประสงคสําหรับนงนอน หรือรบแขก มพนทปด
ี
ั
ึ
้
ิ
ั
่
ื
่
ี
ิ
่
้
ี
ี
กนบางสวนสําหรบหองนา และครว พนทชนบนยงคงสภาพโครงสรางเรอนเดมทยงใชประโยชนเฉพาะบางสวนเทานน สวน
่
ั
ั
ื
้
้
้
ั
่
ี
ั
ั
ํ
ั
ิ
้
ั
ื
้
็
ิ
ิ
ี
ใหญนยมเกบสงของทไมคอยไดใชงาน
่
่
3. ประเภทเรือนไทอสานรวมสมย พบเปนเรอนทรงเทศบาลหลังคาจัวเดียวและจวค มลักษณะโครงสรางทแตกตาง
ื
ั
ี
ั
่
่
ู
ี
ี
่
่
ุ
ื
ั
ี
้
่
ั
ี
จากเรือนไทอสานดังเดม และเรอนไทอสานประยกตทงโครงสราง เปนเรอนทไดรบการออกแบบของหนวยงานราชการในเขต
ี
ิ
ื
้
ี
ู
ั
ู
ั
ี
ี
่
เทศบาล ถกปรบเปลียนใหมีขนาดเล็ก เพอใหเหมาะกบผูทมรายไดนอยและถกสุขลักษณะ มชวงหางระหวางแนวเสา 2
่
ื
่
ิ
ี
่
ี
ั
้
ี
ื
ั
ชวงเสา แตกตางจากเรอนไทอสานดงเดม และเรือนไทอีสานประยุกตทมชวงหางระหวางแนวเสา 3 ชวงเสา ปจจบนไดรบ
ั
ุ
้
่
้
ึ
ิ
้
ี
ั
ิ
ี
ู
่
่
ื
ความนยมเพมขนเรือย ๆ การกอสรางจะเรมทบรเวณชนบนกอนแลวคอยตอเตมพนทชนลางภายหลัง ดวยการกออฐฉาบปน
ิ
ั
้
ิ
ิ
่
่
ิ
การตอเทบครว เทบดานหนา และเทบดานขางตามมาภายหลัง เพอเพมพนทใชสอยประโยชนมากขน การตอเตมพนท ่ ี
่
ื
ื
้
ิ
่
้
ึ
ิ
ั
่
ิ
ิ
ื
้
ิ
ี
ั
ื
้
่
ั
ี
่
ภายนอกใชสําหรับการนงพกผอน พดคยกบคนในบาน หรือใชเปนพนทปฏสัมพนธกบเพอนบานและใชเปนพนทจอดรถเปนตน
่
ั
ื
ั
ุ
ั
้
ู
่
ื
ี
ิ
ี
ุ
่
ี
สรปไดวาเรือนทง 2 กลมทพบ แมมีลักษณะโครงสรางทางสถาปตยกรรมทดแตกตางกนทางกายภาพแตกมลักษณะ
็
ู
้
่
ั
ี
ั
ุ
ิ
่
ี
ิ
่
ี
ี
ี
ทเชอมโยงกนในเชิงประวตศาสตรศลปทางสังคมและวิถชวตตามยคสมย ขอสังเกตทพบ คอ ลักษณะการวางตําแหนงชวงหาง
ุ
ื
่
ื
ั
ั
ั
ิ
ี
ี
ํ
ระหวางแนวเสา พบวาเรอนไทอสานแบบดงเดิม และเรือนไทอสานประยุกตยงคงมการวางตาแหนงชวงหางระหวางแนวเสา 3
ั
้
ั
ื
ี
ี
ี
ชวงเหมือนเรือนในอดต แตพบวาเรือนไทอสานรวมสมัยมีการปรับเปลียนชวงหางระหวางเสาจาก 3 ชวงมาเปน 2 ชวงเสาแทน
่
ี
่
่
ี
ซงเปนผลมาจากการเปลียนผานของยุคสมยและพฤตกรรมของผูใชทเปลียนไปนนเอง ทผลักดนใหเกดการเปลียนแปลง
่
ั
ั
่
ั
่
ึ
่
ิ
่
ิ
ลักษณะโครงสรางทางสถาปตยกรรมตามไปดวย
่
ี
่
ี
่
ู
ั
ื
ี
่
รปท 2 ลักษณะโครงสรางทางสถาปตยกรรมทดแตกตางกนทางกายภาพแตกมลักษณะทเชอมโยงกน
ู
ั
ี
็
ิ
ี
ในเชงประวตศาสตรศลปทางสังคมและวิถชวตตามยุคสมย
ิ
ั
ี
ิ
ั
ิ
ทมา: ผวจย 2562
ิ
ี
่
ู
ั
ุ
3. วตถประสงค
ั
ี
ึ
้
ื
ื
่
ื
้
ั
ื
ี
ี
1. เพอศกษาการเปลียนแปลงพืนทกจกรรมและผังพนเรอนไทอสานทง 2 กลุมในเขตพนทเทศบาลเมองเขมราฐ
้
่
้
ื
่
่
ิ
จงหวดอบลราชธานี
ั
ั
ุ
ั
่
ื
้
ื
้
่
ื
ื
ิ
ี
ิ
่
ี
้
ี
ี
้
2. เพอวเคราะหเปรยบเทยบปจจยการเปลียนแปลงพืนทกจกรรมและผังพนเรอนไทอสานทัง 2 กลุมในเขตพนท ี ่
ั
ุ
ั
ื
เทศบาลเมองเขมราฐ จงหวดอบลราชธานี
157