Page 61 - The 10th Graduate Integrity Conference Proceeding
P. 61
ํ
ื
ิ
ื
ั
ื
ี
5.2.3 เรอนไมประยกตพนทใชสอยแบบอิทธพลตะวนตก พบในเมองลําปาง จานวน 2 หลัง และเมองแพร
ุ
่
้
ื
ํ
ั
จานวน 5 หลง
ื
ิ
ั
ื
1. ประวตความเปนมาของเรอน เรอนสวนใหญถกปลูกสรางในชวงป พ.ศ. 2443-2503 โดยภายหลัง
ู
ิ
ปฏรปการปกครองจากเมืองประเทศราชเปนแบบมณฑลเทศภบาล เกดความเปลียนแปลงในมณฑลพายัพในหลาย ๆ ดาน
ิ
ู
ิ
่
้
ิ
ี
่
ึ
ึ
โดยเฉพาะดานการศกษาและศาสนา สงผลใหมีการอพยพกลุมคนจากตางถนเขามาในพืนทศกษา ไดแก กลุมพอคา กลุม
่
ิ
ี
ี
้
ู
ั
่
ี
ี
้
่
ึ
ึ
ั
ี
้
ขาราชการ รวมถงการเกดขนของชนชนกลางทมอาชพรบราชการ อาชพคร อาชพทนายความ ในชวงเวลานันกลุมคนทีม ี
ุ
ิ
่
โอกาสเดนทางไปศึกษาตอทกรงเทพฯ และตางประเทศ ตางไดเหนรปแบบสถาปตยกรรมรูปแบบอน เมอเดนทางกลับมาถนท ี ่
ื
่
ู
ี
ิ
็
่
ิ
่
ื
ั
่
ู
ี
ี
ํ
เดิมของตน จงไดนารูปแบบของสถาปตยกรรมทตนชนชอบมาปรบใชในการปลูกสรางทอยอาศย โดยใชชางชาวจนเปนผูดแล
่
ี
ึ
ู
่
ื
ั
่
การปลูกสราง และมีชางทองถนเปนแรงงาน
ิ
2. รปทรง มีทงเรอนยกใตถนสูง และเรอน 2 ชัน มทงการใชโครงสรางผนังอฐกอรบนาหนกและ
ู
้
ื
ี
ั
้
ุ
ั
ิ
้
ื
ํ
้
ั
ั
ั
้
้
่
ี
้
ั
ื
ั
ั
โครงสรางไม ชนลางใชสําหรับ พนทสํานกงาน โถงรบแขก และรับประทานอาหาร สวนชนบนเปนโครงสรางไม ใชเปนสวนพก
ั
่
ึ
้
ื
ื
ั
ี
้
อาศย มระดับพืนหองถงฝาเพดาน สูง 3.50-4.00 เมตร มการแบงพนทใชสอยดวยการลดระดับพนเชนเดยวกบเรอนไมแบบ
ื
้
ั
ี
ี
ี
่
ี
ั
้
ึ
่
ดงเดม พนททงหมดคลุมดวยหลังคา ซงมรปทรงทหลากหลาย ไดแก ทรงปนหยา หลังคาทรงจว หลังคาทรงปนหยายกจว
ู
ี
่
ั
้
ิ
ื
ั
ี
ั
้
่
่
ี
ิ
ี
ั
มความลาดชน 25-30 องศา มุงดวยกระเบองดนขอ แปนเกล็ดไม และมงดวยกระเบืองซเมนตวาว เรอนบางหลังมการทํา
ุ
้
ื
้
ื
ี
ื
้
ุ
ั
่
ื
้
ั
หลังคามข เปนหลงคาทรงจว มีความลาดชน 25-30 องศา มงดวยกระเบองดนขอ แปนเกล็ดไม และมงดวยกระเบองซเมนต
ิ
ุ
ี
ั
ุ
ิ
ื
ื
ุ
ั
ั
่
วาว สวนหลังคาเรอนครว เปนหลังคาทรงจัว มีความลาดชน 25-30 องศา มงดวยกระเบ้องดนขอ แปนเกล็ดไม และมุงดวย
กระเบืองซเมนตวาว
ี
้
่
ู
ิ
ี
ื
ี
่
้
ู
ื
ั
้
3. การจดวางพนทใชสอยภายในเรอน เรอนรปแบบนมรปแบบหลังคาทหลากหลาย ดวยเทคนคการ
ี
ื
ี
ึ
ื
ั
ิ
้
่
้
ี
กอสรางโครงสรางหลังคาทียดหยนมากขน สงผลใหการจดวางพนทใชสอยมีความอสระ ผังพนจงมรปแบบทหลากหลายไปดวย
ื
้
ื
ี
่
่
ู
ึ
ี
ุ
่
ี
่
ื
ั
มการนาการพนทใชสอยแบบอิทธพลตะวนตกมาปรบใช โดยยังคงแยกเรอนสวนพกอาศัยออกจากเรือนครัวและเชือมพนททง
ี
้
ื
้
ิ
้
ั
ื
ั
ํ
ั
ี
่
ื
้
ื
่
ื
ี
้
ิ
ั
้
สองดวยชานแบบเรอนไมแบบดงเดม สามารถจาแนกการจัดวางพนทใชสอยภายในเรอนออกเปน 5 สวน ดงน 1) ชนลาง
ั
ั
้
ํ
ี
่
้
ี
้
้
ั
ื
ั
ู
ั
่
ี
ื
ประกอบดวยเรอนยกใตถนสง และเรือนทใชงานพนทชนลาง ซึ่งการใชงานพนทชนลางมกจะมีการกนหองเปนโถงโลง มระดบ
้
้
ุ
ี
ั
ั
ี
่
ื
้
พนเทากบระดับพนดนภายนอก มีทงการใชโครงสรางผนงอฐกอรบนาหนกและโครงสรางไม เพอใชงานเปนพนทอเนกประสงค
้
ื
่
ิ
ั
ื
ั
้
ั
่
ี
้
ํ
ื
ิ
ั
ื
ั
้
ื
ี
่
้
ั
ิ
่
ี
ั
ํ
ั
ั
ํ
ั
ี
ทาสานกงาน หองรบแขก หองรบประทานอาหาร 2) สวนพกอาศย มลักษณะการจดวางพนทใชสอยทอสระและหลากหลาย
ั
ุ
ํ
ี
้
ิ
ิ
ั
และเรือนกลมนจะนาองคประกอบของเรือนแบบอทธพลตะวันตกมาปรับใชใหสอดคลองกบความตองการของเจาของเรือนแต
ํ
่
ั
ิ
ั
๋
ั
่
ี
่
ละหลัง ไดแก เฉลียง หองนงเลน หองรบแขก หองทางาน หองรบประทานอาหาร และหองใตหลังคา 3) เตน เปนพนททยงคง
ั
ี
้
ื
ปรากฏอยูในเรือนบางหลัง เปนพนทถดจากสวนพกอาศย มลักษณะเปนพนทกงเปดโลง มหลังคาคลุม พนเตนยกระดบเทากบ
ิ
ั
๋
ั
ั
ื
้
ั
่
ี
้
ื
ึ
ั
้
่
่
ี
ี
ื
ี
้
ื
ั
ื
้
ี
ิ
ํ
ั
ั
ี
พนสวนพกอาศย และสูงกวาระดบชานประมาณ 10-20 เซนติเมตร ทาหนาทเปนบรเวณอเนกประสงค แตจะมพนทไมใหญ
ี
่
่
ั
ี
ื
ั
ื
ิ
่
ั
ั
ั
ั
ํ
ื
้
ื
่
ั
เทากบเรอนไมแบบดงเดิมและเรอนไมแบบประดบไมฉลุลาย 4) ชาน ทาหนาทเชอมระหวางสวนพกอาศยกบเรอนครว เดมม ี
ื
่
ํ
ื
้
ุ
ั
ิ
ลักษณะเปนชานแดด ทาใหเรือนเกอบทกหลงพนไมมีสภาพเสือมโทรม ในเวลาตอมาจงมการตอเตมหลังคา เพอกนแดดกันฝน
ี
ั
ึ
่
ื
ั
่
ั
ั
ั
่
ื
และบางหลังเปลียนเปนพนคอนกรีต 5) สวนบริการ เรอนสวนใหญยงคงแยกเรือนสวนพกอาศยออกจากเรอนครว และเชอม
ื
ื
้
ื
ึ
้
ิ
พนททงสองดวยชานแบบเรอนไมแบบดงเดม จงพบเรอนครวและสวนบริการตงอยดานหลังเรอนเสมอ สามารถจาแนกเรอน
้
ั
ั
้
ื
ื
ื
ี
ั
้
่
ํ
ื
ั
ื
ู
ิ
ื
ครวออกเปน 2 รปแบบ ไดแก เรือนครัวแบบยกใตถน และเรือนครัวทสรางระดับพนดน
ั
ู
่
้
ี
ุ
ี
ื
้
่
ุ
ื
ิ
ี
่
ั
ู
ู
ื
รปท 8 รปแบบเรือนไมประยกตพนทใชสอยแบบอิทธพลตะวนตก ในเมองลําปางและเมองแพร
ี
ทมา: ผูวจย (2562)
่
ิ
ั
52