Page 62 - The 10th Graduate Integrity Conference Proceeding
P. 62
ั
่
ี
ื
้
5.2.4 เรือนไมประยุกตพนทใชสอยแบบเรือนดงเดิม
้
ื
1. ประวตความเปนมาของเรอน เรอนสวนใหญถกปลูกสรางในชวงป พ.ศ. 2443-2503 สามารถ
ื
ั
ิ
ู
ื
ี
่
ั
ิ
ํ
ื
่
ํ
ั
ั
จาแนกออกเปน 2 ชวงเวลา ไดแก ชวงท 1 ภายหลังการเขามาของชาวตะวนตกและคนในบงคบเพอทากจการปาไม เปนเรอน
ี
ี
ั
ํ
ิ
ํ
่
ิ
่
ุ
ั
่
ิ
ของกลุมคหบดีและชาวบานททากจการปาไม โดยใชชางทองถนทเคยมโอกาสสรางเรือนของกลมบรษททาไมของชาวตะวนตก
ี
และกลุมเจานายทองถน สวนชวงท 2 ภายหลังเปลียนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เปนของชาวบานทไมไดเกยวของกบ
่
ี
่
ี
ิ
ั
ี
่
่
่
ิ
่
่
ึ
ี
ี
ุ
กจการปาไมโดยตรง โดยใชชางทองถน ซงเรือนในกลมหลังจะมความประณีตนอยกวาเรอนทสรางในชวงแรก จากการสํารวจ
ื
่
ิ
ู
ํ
ั
ื
ั
ี
้
ื
ํ
พบ เรอนรปแบบนในเมองลําปาง จานวน 11 หลง และเมืองแพร จานวน 7 หลง
ิ
ุ
ู
้
ื
ื
ึ
ื
ี
้
2. รปทรง เปนเรอนยกใตถนสูง มการยกพนเรอนลอยสูงขนไปจากระดับพนดนประมาณ 2.00-3.50
ื
้
ุ
เมตร ประกอบดวย เรือนยกใตถนสง และบางเรือนมีการตอเติมพนทใตถนในภายหลัง โดยชันลางมทงการใชโครงสรางผนงอฐ
ุ
่
ู
ี
ิ
ั
ี
้
ั
้
ื
้
่
ี
ั
ื
้
ั
ั
ั
้
ี
กอรบนาหนกและโครงสรางไม ใชเปนพนทอเนกประสงค สวนช้นบนเปนโครงสรางไม ใชเปนสวนพกอาศัย มระดบพนหองถง ึ
ํ
ั
ื
้
้
ั
ี
ื
ั
ิ
ี
่
ู
้
ฝาเพดาน สง 3.00-3.60 เมตร มีการแบงพนทใชสอยดวยการลดระดับพนเชนเดยวกบเรอนไมแบบดงเดม พนทสวนพกอาศย
ั
ื
้
ื
ั
้
ี
่
ื
่
้
ทงหมดคลุมดวยหลังคาหลักทมีรูปทรงหลากหลาย ไดแก หลังคาทรงหลายเหลียม หลังคาทรงจวแบบปาดมม มความลาดชัน
่
่
ั
ี
ุ
ั
ี
ี
ิ
ุ
้
ื
ื
่
ื
้
ั
ํ
25-30 องศา มงดวยกระเบองดนขอ แปนเกล็ดไม และกระเบองซเมนต เรอนบางหลังมการทาหลังคามข เปนหลังคาทรงจว
ุ
ี
้
ื
ั
้
ี
ิ
ี
ิ
มความลาดชน 25-30 องศา มุงดวยกระเบืองดนขอ แปนเกล็ดไม และกระเบองซเมนต สวนหลังคาสวนบรการ เปนหลังคา
็
้
ี
ทรงจ่ว มความลาดชัน 25-30 องศา มุงดวยกระเบืองดนขอ แปนเกลดไม และกระเบืองซเมนต
ิ
ี
ั
้
ี
ั
ื
ื
้
ั
3. การจดวางพนทีใชสอยภายในเรอน พบวา มการแยกเรอนสวนพกอาศยออกจากเรือนครว
่
ั
ั
ื
้
ื
ี
ี
ั
ํ
ั
่
่
ี
ั
้
่
ั
้
ื
ื
ิ
ั
้
ิ
ั
และเชือมพนททงสองดวยชานแบบเรอนไมแบบดงเดิม รวมทงมการนาองคประกอบของเรอนทไดรบอทธพลตะวนตกมาปรบ
ื
่
ั
้
ี
ี
้
่
ใช ไดแก เฉลียง หองโถงมุขแบบหลายเหลียม สามารถจําแนกการจัดวางพนทใชสอยภายในเรือนออกเปน 5 สวน ดงน
ื
ี
้
ื
่
ั
ึ
ื
้
ุ
่
ี
ู
่
้
ั
้
ี
ี
่
ั
1) ชนลาง ประกอบดวยเรอนยกใตถนสง และเรือนทมการตอเติมพนทใตถน ซงสวนใหญมีการกนหองเปนโถงโลงทมระดบพน
ี
ุ
ิ
สูงกวาระดบพนดนภายนอก ประมาณ 0.10-0.15 เมตร มทงการใชโครงสรางผนังอฐกอรบนาหนกและโครงสรางไม เพอใช
ิ
้
้
ั
ั
ี
ํ
ื
ั
่
้
ั
ื
เปนพนทอเนกประสงค 2) สวนพกอาศย ประกอบดวย โถงมข เฉลยง หองโถงอเนกประสงค หองนอนซงเปนหองทมฝาปด 4
ี
่
ี
ั
ั
ึ
่
้
ี
ี
่
ุ
ื
ื
้
ั
ั
ื
ั
้
ิ
๋
๋
ิ
ื
ี
ึ
่
ี
่
ั
้
้
ื
ั
ั
ี
ดาน 3) เตน เปนพนทถดจากสวนพกอาศย มีลักษณะเปนพนทก่งเปดโลง มหลังคาคลุม พนเตนยกระดบเทากบพนสวนพก
ื
ั
ั
ิ
ิ
ิ
ํ
ี
อาศัย และสูงกวาระดับชานประมาณ 10-20 เซนตเมตร ทาหนาทเปนบรเวณอเนกประสงค รองรบกจกรรมเชนเดยวกบเรอน
่
ี
ั
่
ื
ั
ไมแบบดงเดม 4) ชาน ทาหนาทเชอมระหวางสวนพกอาศยกบเรอนครว ประกอบดวย ซมประตทางเขาเพอสรางความเปน
ู
ํ
ื
ั
่
้
ุ
ั
ี
ั
ิ
่
ื
ั
ึ
ื
ั
้
ุ
้
่
้
ั
ี
ํ
ิ
ื
สวนตว ฮานนา และมบนไดทอดจากชนลางขนมาสูชนบนในบรเวณน เรอนบางหลังมการทาหลังคามขยนมาคลุมบนไดและ
้
ี
ั
้
ํ
ั
ี
ฮานนา พนทบางสวนของชานจะไมมีหลังคาคลุม ทาใหพนไมบรเวณดงกลาวมสภาพเสือมโทรม ในเวลาตอมาจงมการตอเตม
ื
ึ
้
ิ
้
ี
ํ
ี
่
่
ํ
ิ
ั
ื
้
ี
ื
่
้
่
ื
ั
ั
ั
ั
้
ี
ื
ั
ี
ุ
ื
ั
หลังคา เพอกนแดดกนฝนทกหลัง 5) สวนบริการ มการแยกเรอนสวนพกอาศยออกจากเรอนครว และเชอมพนททงสองดวย
่
ื
ั
ชานแบบเรือนไมแบบดงเดม จงพบเรือนครวและสวนบรการตงอยดานหลังเรอนเสมอ ในอดีตใชแมเตาไฟ แตปจจบนไมไดใช
ู
ื
ั
้
ุ
ั
้
ึ
ั
ิ
ิ
้
ึ
ื
่
ุ
่
่
ึ
ื
งานจงรอออกเกือบทกหลัง เนองจากเจาของเรือนใชเตาอังโลแทน ซงสะดวกตอการเคลือนยาย เหมาะกับการใชงานท ่ ี
้
หลากหลาย
ี
ี
ื
ั
่
ุ
้
่
้
ื
รปท 9 รปแบบเรือนไมประยกตพนทใชสอยแบบเรือนดงเดิม ในเมืองลําปางและเมองแพร
ู
ู
ทมา: ผูวจย (2562)
่
ิ
ั
ี
53