Page 62 - The 8th Graduate Integrity Conference Proceeding
P. 62

th
 Research Proceedings in The 8  Graduate Integrity Conference: April, 2017







                activities by the participation process with people in and outside community on Pakprak road, the researcher
                found that the local people’s pride can be touched through telling about their own stories and community. And
                they also want to sustain the original community atmosphere. However, the challenges to the succeed being
                enabled living museum is to create the communication process and collaboration for their common goal between
                municipality  and  local  people  including  relevant  persons.  This  will  be  opportunity  for  all  to  participate  and
                understand  each  other  more  effectively.  In  a  sequence,  the  expected  result  are  1)  To  listen  to  each  other
                more than before 2) To encourage a positive attitude in responsibility to oneself and society 3) To reinforce

                genuine  leaders  from  both  local  government  and  community  4)  To  support  the  continuous  policies  in  each
                different mayor’s periods. Finally, this research expectation is to have the Living Museum concept as a catalyst
                to  conserve  architecture  and  restore  community.  In  addition  to  give  the  guideline  to  develop  community,
                environment, and historical sites contemporarily and sustainably.


                Keywords: Living Museum, Community, Historical Site, Participatory Conservation



                1. บทน�า

                       จาก “ผลกระทบที่เกิดขึ้นในการพัฒนาจากระดับบนสู่ระดับล่าง ท�าให้เกิดการท�าลายกระบวนการเรียนรู้ของชุมชน
                  �
                             ิ
                                                                                    �
                ทาให้คนในท้องถ่นไม่รู้จักตัวเอง” ในบทสัมภาษณ์ของรองศาตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม (สานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย,
                2552)  และคากล่าวของรองศาตราจารย์ยงยุทธ  ชูแว่น  (สานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย,  2552)  ท่ว่า  “...การศึกษา
                           �
                                                              �
                                                                                                 ี
                ประวัติศาสตร์ชุมชน...นับเป็นคุณูปการสาคัญต่อสังคมไทย ...เป็นความรู้ท่ความจาเป็นอย่างมากในยุคของการปฏิรูปการเรียนร ู้
                                                                            �
                                              �
                                                                       ี
                                               ี
                    ั
                                                  ั
                                                �
                                               ่
                              ุ
                               ั
                                    ี
                            ั
                                             ิ
                                       ้
                                       ั
                                                        ั
                                                                                        ่
                                                                                  ั
                                                                                ็
                                                                                             ี
                ของสงคม ณ ปจจบน...” อกทง ภารกจทสาคญของรฐบาล คอ การทาใหสงคมไทยเปนสงคมแหงการเรยนร สามารถแสวงหา
                                                                                                 ้
                                                                                                 ู
                                                                       ้
                                                                    �
                                                              ื
                                                                        ั
                                                   ั
                                                                      ี
                                                                                    ี
                ความรู้ใหม่ๆ  ด้วยตนเองได้ตลอดเวลา  ดังน้น  สังคมจึงควรมีแหล่งท่จะแสวงหาความรู้ท่มีความหลากหลายในรูปแบบและ
                                                                               ี
                                      �
                เน้อหา สาหรับประเทศไทยจาเป็นต้องขยายโอกาสทางการศึกษาด้วยสถาบันใหม่ท่จะมารองรับการปฏิรูปการศึกษาให้ทันกับ
                       �
                  ื
                ยุคแห่งการเรียนรู้แบบไร้ขีดจ�ากัด (School without Walls) ซึ่งให้คุณค่ากับการศึกษาเรียนรู้ สามารถเข้าใจการเปลี่ยนแปลง
                ที่รวดเร็วของโลก  เข้าใจปัญหาที่ต้องเผชิญหน้าควบคู่ไปกับความเพลิดเพลิน  ประเทศจึงต้องการ  พิพิธภัณฑ์ในฐานะแหล่ง
                                                                                       ู
                     ู
                                                                                        ิ
                                     ่
                                                   ั
                  ี
                                                                                                             ั
                                                            ั
                เรยนร้ใหม่ทสะท้อนความมนคงของสงคม  วฒนธรรม  ลกษณะเฉพาะตน  และความภาคภมใจในสงคมของตน  (สถาบน
                                                                                             ั
                                     ั
                          ี
                          ่
                                             ั
                พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ, 31 มีนาคม 2548)
                                                                                                     ี
                                                         ิ
                                                                                  �
                                                       ั
                       ชุมชนบนถนนปากแพรก  มีลักษณะการต้งถ่นฐานทอดยาวไปตามริมฝั่งแม่นาแควใหญ่และแม่กลองท่เป็นเส้นทาง
                                                                                  ้
                                                               ิ
                                                                      ื
                                                                                         ื
                คมนาคมทางนาสายประวัติศาสตร์ท่สาคัญในอดีต ปากแพรก เร่มปรากฏช่อในสมัยกรุงศรีอยุธยา เร่อยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์
                                            �
                           �
                                           ี
                           ้
                ตอนต้น พระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ 3 โปรดให้สร้างกาแพงเมืองและป้อมข้นใหม่ ในปี พ.ศ. 2374 ณ บริเวณ
                                                                                     ึ
                                                         ี
                                       ั
                                                                      �
                                                                             �
                     ้
                  ี
                ท่แม่นาแควน้อยและแควใหญ่ไหลมาบรรจบกัน  (ดูรูปท่  1)  และเป็นจุดเร่มต้นสาคัญของการเจริญเติบโตบริเวณปากแพรก
                     �
                                                          ี
                                                                         ิ
                                                  ิ
                                     ี
                                                                           ิ
                และเมืองกาญจนบุรีใหม่  ท่เกิดจากการต้งถ่นฐานผสมผสานภูมิปัญญาท้องถ่นของผู้คนหลายชนชาติไม่ว่าจะเป็นจีน  ญวน
                                                ั
                มอญ ไทย สู่การขยับขยายบ้านเมืองสืบทอดวิถีชีวิต จนเป็นถนนปากแพรก ถนนสายแรกของจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งในอดีต
                เป็นย่านการค้าที่เจริญรุ่งเรืองมากแห่งหนึ่ง
                       การพัฒนาในแต่ละยุคนาไปสู่การเปล่ยนแปลงในปัจจุบัน  ไม่ว่าจะเป็น  การสร้างทางรถไฟ  การตัดถนนแสงชูโต
                                          �
                                                    ี
                         ื
                การสร้างเข่อน (ด้านกายภาพ) ศูนย์กลางของเมืองและย่านการค้าหลักย้ายออกไปสู่พ้นท่แห่งใหม่ (ด้านเศรษฐกิจ) การศึกษา
                                                                                ื
                                                                                   ี
                ต่อและการย้ายที่ท�างาน  (ด้านสังคม)  ส่งผลต่อสภาพแวดล้อม  บ้านเรือนและท�าให้บรรยากาศคึกคักของย่านชุมชนนี้ค่อยๆ
                เงียบเหงาลง ปัจจัยหลายอย่างน้เป็นส่วนท�าให้ความเป็นชุมชนบนถนนปากแพรกขาดการสืบทอดความเป็นมาทางประวัติศาสตร์
                                        ี
                และวิถีชีวิตท้องถิ่น  เช่นเดียวกับชุมชนดั้งเดิมอื่นๆ  ในประเทศที่ก�าลังเผชิญปัญหาอยู่ในขณะนี้  จนเมื่อการพัฒนาพื้นที่จาก
                                                                    ผลงานวิจัยในโครงการประชุมวิชาการระดับบัณฑิตศึกษา
                                                              57    คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์  สจล.
   57   58   59   60   61   62   63   64   65   66   67