Page 183 - The 8th Graduate Integrity Conference Proceeding
P. 183

th
                Research Proceedings in The 8  Graduate Integrity Conference: April, 2017







                                                                  ื
                      สาเหตุท่ผู้ประกอบอาหารไม่ใช้เตาพลังงานแสงอาทิตย์เน่องจากเตาพลังงานแสงอาทิตย์ท่มีประสิทธิภาพและให้
                             ี
                                                                                           ี
               ความร้อนสูงนั้นมีขนาดใหญ่จึงใช้พื้นที่จัดวางมากและเก็บรักษาได้ยาก  ซึ่งเหมาะสมกับผู้มีพื้นที่ของที่พักอาศัยบริเวณกว้าง
               อีกทั้งขาดการยอมรับการใช้งานในการประกอบอาหาร เนื่องจากเตาพลังงานแสงอาทิตย์ส่วนใหญ่ที่พัฒนาในปัจจุบันนั้นเป็น
                ิ
                                  ี
                                                                               ึ
                                          ื
                                       ึ
               ส่งประดิษฐ์เชิงวิศวกรรมท่สร้างข้นเพ่อทดสอบประสิทธิภาพของการถ่ายเทความร้อน ซ่งขาดการพัฒนาให้สามารถผลิตในระบบ
               อุตสาหกรรมเพ่อเข้าถึงผู้บริโภคได้สะดวก เพ่มบริการส�าหรับส่งเสริมการตลาดและท�าให้ผู้บริโภคมีความเช่อม่นในผลิตภัณฑ์
                                                                                                 ั
                                                                                               ื
                           ื
                                                 ิ
               มากยิ่งขึ้น  ดังนั้นสิ่งส�าคัญในการพัฒนาเตาพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อให้เกิดการยอมรับการใช้งานอย่างแพร่หลายและมีความ
               เหมาะสมต่อการใช้งานในธุรกิจรีสอร์ท จ�าเป็นต้องมีการศึกษาความต้องการของผู้ประกอบอาหารท่มีต่อการพัฒนาเตาพลังงาน
                                                                                        ี
               แสงอาทิตย์  ดังที่ไลท์ไมน์  (Lightminds.  2005)  กล่าวว่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ประสบความส�าเร็จได้  นักออกแบบจ�าเป็น
               ต้องให้ความส�าคัญและเข้าใจในความต้องการที่แท้จริงจากผู้ใช้งานเป็นส�าคัญ
                                                                                                         ี
                                                                                                           ึ
                      การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เกิดการยอมรับจากผู้ใช้งานกระท�าได้ด้วยการศึกษาความต้องการ 3 ประการ ประการท่หน่ง
               คือ ความพึงปรารถนาที่มีต่อผลิตภัณฑ์ (Desirability) ผลิตภัณฑ์จะต้องสามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานของผู้ใช้ได้
               ประการท่สอง คือ วัตถุประสงค์ของการใช้งาน (Purpose) ผลิตภัณฑ์จะต้องมีประโยชน์ใช้สอยตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้งานได้
                      ี
                         ี
               และประการท่สาม คือ ประสบการณ์การใช้งาน (User Experience) การใช้งานผลิตภัณฑ์จะต้องมีความสอดคล้องกับประสบการณ์
                                ิ
                           ึ
                                                                                                           ั
               การใช้งานเดิมซ่งเป็นส่งท่สามารถสร้างความพึงพอใจต่อผู้ใช้งานได้  (Lightminds.  2005)  นอกเหนือจากความต้องการท้ง
                                  ี
               สามประการแล้ว ส่งส�าคัญท่จะต้องพิจารณาและศึกษาร่วมด้วยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์คือความสวยงาม วัฒนธรรม ความเช่อ
                             ิ
                                    ี
                                                                                                           ื
                                                   ี
                                             ั
               ค่านิยม และพฤติกรรมของผู้ใช้งาน ซ่งท้งหมดน้มีผลต่อความต้องการของผู้ใช้งานจากผลิตภัณฑ์และน�าพาไปสู่การสร้างสรรค์
                                           ึ
                ี
               ท่ประสบความส�าเร็จ โดยข้อมูลดังกล่าวต้องผ่านการศึกษาผู้ใช้งานในเชิงลึกและการมีส่วนร่วมในการออกแบบและพัฒนาของ
               ผู้ใช้งานเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการที่แท้จริง  ด้วยการประเมินจากวิธีการเก็บข้อมูล  ได้แก่  1)  การฟัง
                                    ี
                                  ิ
                           ื
                                                             ึ
               (Listening)  เพ่อศึกษาส่งท่แฝงอยู่ในการพูดของผู้ใช้งาน  ซ่งส่วนใหญ่ไม่ได้แสดงออกผ่านทางการพูดอย่างตรงไปตรงมา
                ั
                                                           ี
               ท้งหมด ผู้วิจัยจึงจ�าเป็นต้องวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลท่อย่างละเอียด 2) การสังเกต (Observing) การสังเกตเป็นส่วนหน่ง ึ
                                                                     ี
               ของการศึกษาข้อมูลเชิงลึกอันจะท�าให้ผู้วิจัยสามารถเข้าถึงพฤติกรรมท่ผู้ใช้งานแสดงออกมาผ่านการใช้งานผลิตภัณฑ์  ซ่งม ี
                                                                                                          ึ
                                                                                                           ั
                                 ิ
               ความแตกต่างระหว่างส่งท่ผู้ใช้บอกว่าท�ากับส่งท่ผู้ใช้ปฏิบัติจริงและท�าให้เห็นความต้องการท่ไม่ได้แสดงออกมาโดยตรง ดังน้น
                                                   ี
                                   ี
                                                 ิ
                                                                                    ี
                                              ึ
                                                                                 ิ
                                                                           ั
                                                                      ่
                                                                                        ื
                                                                                      ์
                                                                                   ั
                                                                     ี
                                                             ้
                                                             ู
                                                    ้
                                                                   ่
                                                                   ี
                                                               ้
                                            ึ
                       �
                         ั
                                ึ
                     ื
               เครองมอสาคญในการศกษาขอมลเชงลกถงความตองการของผใชงานทมตอการพฒนาผลตภณฑ คอ แบบสอบถาม การสังเกต
                 ื
                 ่
                                     ้
                                       ู
                                          ิ
                                             ี
               การสัมภาษณ์  และการสนทนากลุ่ม  ท่มีความเท่ยงตรงด้วยกระบวนของการสร้างและทวนสอบความคิดเห็นดังเช่นแนวคิด
                                                    ี
               ของคาโน โมเดล
                      แนวคิดคาโน  โมเดล  (Kano  Model)  (Kano.1984  อ้างถึงใน  Qiting,  Uno  and  Kubota.  2013)  พัฒนาขึ้นในปี
               คศ. 1984 โดยนักวิจัยชาวญ่ปุ่น คือ ดร.โนริอากิ คา ด้วยเป้าหมายคือ สร้างเคร่องมือส�าหรับศึกษาความต้องการของผู้ใช้ งาน
                                                                          ื
                                    ี
               ที่มีต่อผลิตภัณฑ์  เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการและสร้างความพึงพอใจต่อผู้ใช้งานตามที่
                                                                 ื
               ชริณี  เดชจินดา  (2536)  ระบุว่า  ความรู้สึกพึงพอใจจะเกิดข้นเม่อความต้องการของบุคคลได้รับการตอบสนอง  หรือลดลง
                                                              ึ
                                                                                              ื
                             ั
               หากความต้องการน้นไม่ได้รับการตอบสนอง แนวคิดคาโน โมเดลพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยค�านึงถึงคุณลักษณะพ้นฐานความต้องการ
               3  ประเภทที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจ  อันประกอบด้วย  1)  คุณลักษณะพื้นฐาน  (Must-be  Requirement)  คือ  สิ่งที่เป็น
                                                         ึ
               พ้นฐานหรือการใช้งานพ้นฐานท่ผลิตภัณฑ์พึงต้องมีอยู่ ซ่งถ้าคุณลักษณะดังกล่าวขาดหายไปจะท�าให้ลูกค้าเกิดความไม่พึงพอใจ
                                 ื
                                      ี
                ื
               ในผลิตภัณฑ์ แสดงถึงความส�าคัญของคุณลักษณะพ้นฐานน้ท่จ�าเป็นต้องมีในการออกแบบและพัฒนาเช่น ตัวเลขแสดงข้อมูล
                                                             ี
                                                            ี
                                                      ื
               บนไม้บรรทัด ช่องใส่ธนบัตรของกระเป๋าเงินแบบพกพา เป็นต้น 2) คุณลักษณะท่ท�าให้พึงพอใจ (One-Dimensional Require-
                                                                           ี
               ment) คือ คุณลักษณะที่ท�าให้ผู้ใช้งานพึงพอใจซึ่งแปรผันตรงกับความคาดหวังและความต้องการของผู้ใช้งานอันจ�าเป็นต้อง
                                                                                                           ิ
                               ี
                                                                            ี
               ให้ความส�าคัญมากท่สุดในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์  หากคุณลักษณะน้มีมากจะท�าให้ผู้ใช้งานมีความพึงพอใจเพ่ม
               มากยิ่งขึ้น เช่น โทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่สามารถเปิดไฟฉายได้ รถยนต์ที่ติดตั้งกล้องมองภาพด้านหลัง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม
                                                          ึ
                         ี
               คุณลักษณะน้เมื่อผู้ใช้ได้สัมผัสและใช้งานในระยะเวลาหน่ง  ด้วยความเคยชินของการใช้งานจะท�าให้คุณลักษณะน้กลายเป็น
                                                                                                     ี
                         ื
                                            ี
               คุณลักษณะพ้นฐานของผลิตภัณฑ์น้นท่จ�าเป็นต้องมีโดยปริยาย 3) คุณลักษณะเกินความคาดหมาย (Attractive Requirement)
                                          ั
               Vol.  8                                      178
   178   179   180   181   182   183   184   185   186   187   188